[Startup CTO ตอนที่ 8] Growth Hacking framework การทำ Marketing ที่เหมาะกับชาว Programmer

เนื่องจากวันนี้ได้โอกาส upload รูปบรรยากาศในงานสอน Course Startup CTO รุ่นที่ 1 ที่ผ่านมาเข้าหน้า Blog

เลยระลึกได้ว่ามีหลายๆ Concept ที่ผู้มาเรียนยังไม่เคยได้ยินมาก่อน และหนึ่งในนั้นก็คือการทำ Growth Hacking ตามหลักการของ Growth Hacking framework ซึ่ง Concept นี้อาศัยความรู้ 3 ด้าน ดังรูป image3

โดยจะเห็นว่าเป็นศาสตร์ที่เกินมาสำหรับชาว Programmer จริงๆ ทั้งด้านของการทำ Experiment & Data รวมทั้งส่วนของ Automation & Engineering ซึ่งนี่แหล่ะคือการทำ Marketing ที่เหมาะกับ Programmer ที่สุดแล้วครับ โดย Programmer ทุกคนควรจะได้รู้ถึง Concept นี้จริงๆ จะได้สมกับเป็น “Beyond Programmer” ตาม Concept ของเว็บ Startup CTO นี่เอง

เดี่ยวจะหาว่าโม้ เราก็มาดูกันต่อที่รูปด้านล่างเลย ซึ่งอธิบายว่างานของ Digital Marketer จะหยุดแค่ด่านบนสุดเท่านั้น โดยที่เหลือเป็นงานของ Growth Hackers ล้วนๆ

growth-hacking-guide-mindset-framework-and-tools-10-638

แล้วตกลงมันแปลว่าอะไรนะ

Growth แปลว่าการเติบโต ซึ่งหมายถึงการทำให้ธุรกิจเติบโต ทำให้ Product หรือ Website หรือ Mobile App ที่เราทำอยู่มีการเติบโต มีผู้ใช้มากขึ้น

Hacking ก็คือการ Hack โดยคนอาจจะคุ้นเคยกับการเป็น Hacker เจาะระบบด้วยวิธีการใหม่ๆ ดังนั้น Hacking ก็หมายถึงการทำอะไรใหม่ๆ

โดยรวมกันเป็น Growth Hacking คือการทำอะไรใหม่ๆ ด้วยเทคนิคใหม่ๆ ที่ทำให้ Product ของเรามีการเติบโตนั่นเอง

บริษัทไหนใช้ Growth Hacking กันบ้าง

แทบทุกบริษัทใน Silicon Valley ที่เป็น Startup จะใช้ Growth Hacking กันทั้งนั้น โดยตัวอย่าง Classic ที่เห็นกันคือ

  • Hotmail – เวลาส่ง Email จะต่อท้ายด้วยคำว่า “PS : I Love you. Get your free E-mail at Hotmail” – โดยหลังจากที่เค้าใช้เทคนิคนี้ ทำให้ยอดผู้ใช้งานพุ่งพรวดๆ จนในที่สุด Microsoft ก็มาซื้อบริษัทไป
  • AirBnB – ตอนแรกๆ ที่ผู้ใช้ไม่เยอะ ตัวเว็บเลยต้องหาวิธีการดูดผู้ใช้จากเว็บอื่นๆ โดยวิธีการที่ AirBnb ทำก็คือเพิ่มปุ่ม Add to Craiglist (Craiglist คล้ายๆ กับ Pantip ของบ้านเราที่เป็น Webboard นั่นเอง) โดยเมื่อผู้ปล่อยห้องเช่าทำการ Post ข้อมููลที่เว็บ AirBnB เรียบร้อยแล้ว ก็สามรถกดปุ่มเดียวเพื่อให้ข้อมูลของตนเองไปโผล่ที่ Craiglist ได้เลย

 

เริ่มต้นยังไงดีน้า

image273

ดูรูปข้างบนครับ มันมีอยู่ 5 ขั้นตอนที่เราจะแทรก Growth Hack เข้าไปได้

โดยผมยก Sample เป็นว่าเราจะทำเว็บ E-Commerce ขายของอะไรสักอย่างละกัน

  1. Acquisition: เป็นการกำหนดว่าเราจะสื่อสารข้อมูลถึงลูกค้าได้ด้วยวิธีการใดบ้าง – ยกตัวอย่างเช่นการใช้ facebook ads, SEO, SEM
  2. Activation: เป็นการกำหนดว่าเราจะนำเสนอขายสินค้านั้นอย่างไรบ้าง – เช่น การทำ Discount code เมื่อถึงวัน Black Friday (เมื่อวานนี้พอดี)
  3. Retention: เป็นการกำหนดรูปแบบว่าเราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าอีก – เช่น การส่ง Email Marketing ไปยังลูกค้าที่เคยซือแล้วเมื่อมี Promotion ใหม่ๆ เช่นเมื่อถึงวันปีใหม่ เป็นต้น
  4. Revenue: เป็นการกำหนด “รูปแบบรายได้” ว่าเราจะเก็บเงินลูกค้าด้วยวิธีการใดบ้าง – เช่น การเก็บเงินด้วยวิธีการโอนเงิน, การจ่ายผ่านบัตรเครดิต
  5. Referral: เป็นการกำหนดว่าเราต้องการจะให้ลูกค้าบอกต่ออย่างไรบ้าง – เช่น การกำหนดวิธีการให้ลูกค้าบอกต่อโดยการให้ Code เพื่อแชร์สินค้า โดยถ้าใครซื้อสินค้าผ่าน link นี้แล้วผู้ที่แชร์จะได้ credit free 100 บาท ต่อหนึ่งยอดซื้อ เป็นต้น

จะเห็นว่าในแต่ละขั้นตอนใน 5 ขั้นตอนเราสามารถคิดเทคนิคเป็นล้านๆ (เวอร์ไป) เพื่อมาใส่เพิ่ม โดยอาศัยการ Create ของเรา รวมทั้งควรจะวัดผลลัพท์ของการทำแต่ละสิ่งไปด้วยนะครับ

ใครสนใจอ่านเพิ่มเติมก็ตาม Link ด้านล่างเลยครับ

ที่มา Slide Growth Hacking ที่ดีที่สุดในโลก

ติดตาม Blog ผมกันด้วยนะครัช